เมื่อพวกเราเกิดมาในชาตินี้ก็ต้องมีการแสวงหาปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ แต่การแสวงหาอย่างไรไม่ประเสริฐหรือเรียกอีกอย่างว่าอนารยะคือเมื่อตนเองเป็นผู้มีชาติคือการเกินในสังสารวัฏ ชรา พยาธิ ความโศกเศร้า ความคับแค้นใจ ความทุกข์นานาประการ และยังมีกิเลสอยู่เป็นธรรมดา แต่เกิดมาแล้วในชาตินี้ ก็ยังใฝ่แสวงหาแต่สิ่งอันมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทุกข์ ตามกิเลสต่อไปอีก แต่ในทางกับกันมีการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่าแสวงหาอย่างอารยะคือ ตนเองมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทุกข์ ก็ยังมีกิเลสอยู่ แต่รู้จักโทษข้อบกพร่องของสิ่งที่มีสภาพเช่นนั้นแล้ว ใฝ่แสวงธรรมอันเกษมคือนิพพาน อันไม่มีสภาพเช่นนั้น มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น นี้เป็นการเกิดมาในชาตินี้มีแต่ทำเหตุแห่งความพ้นทุกข์อยู่เสมอๆ ถือว่าเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เจริญพร 1/11/60 หลวงพ่อมิตร
เมื่อทุกคนไปสร้างความดีแล้วก็มีความปรารถนา จะได้สิ่งที่ตนต้องการ คือมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ยศถาบรรดาศักดิ์ ผู้คนมากมายยกย่องชมเชยและมีความสุขจากสิ่งต่างๆมีรูป เป็นต้น ก็ดีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าบุคคลใดมีความปรารถนาทุกครั้งที่สร้างความดีไว้อย่างนี้คือ หนึ่ง ของให้ข้าพเจ้าจงมีจิตใจที่ดีงามไม่คิดเบียดเบียนบุรุษสตรีสรรพสัตว์ ทั้งหลาย ก็คือเป็นผู้มีศีลนั่นเอง สอง ของให้ข้าพเจ้าจงมีจิตใจที่เสียสละคือการให้ทานทั้งสิ่งของและอภัยทานตลอดถึงให้คำชี้แนะแนวที่เป็นกุศลให้เพื่อนร่วมโลก ข้อสาม เมื่อให้ทานแล้วของให้ข้าพเจ้าจงไม่คิดเสียใจในการให้ทานที่ผ่านมาแล้ว เสียดาย ข้อสี่ ถ้ามีคู่ครองขอให้ได้คู่ครองที่มีศีลธรรมประจำใจพร้อมสร้างบุญกุศลให้ยิ่งๆขึ้น นี้คือความปรารถนาที่เป็นธรรมและถูกต้อง ส่วนเรื่องอื่นๆที่เราต้องการนั้นไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาเป็นเศรษฐี มียศ มีสรรเสริญ และมีความสุข ถึงจะได้รับผลจากการทำทาน ก็ไม่ดีไปกว่าสี่ข้อที่กล่าวมาแน่นอน เจริญพร 2/11/60 หลวงพ่อมิตร
สิ่งที่ควรทำความรู้จักก่อนสิ่งอื่นใด คือ กิเลสตัณหาอุปาทานความยึดถือและความหลงผิดนี้เอง ถ้าสามารถเรียนรู้สิ่งนี้อย่างเข้าใจคือรู้แจ้งชัดของโทษสิ่งที่กล่าวมา ก็สามารถที่จะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ตราบใดที่พวกเรายังไม่เห็นโทษแต่กับไปเห็นสิ่งที่กล่าวมานี้เป็นธรรมดาของมนุษย์ ยังส่งเสริมให้มันอีก ความสุขที่คิดว่าจะได้รับจากกิเลสตัณหาอุปาทานความหลงผิด กับกลายเป็นไฟเย็นที่น่ากลัวมาก และออกจากสิ่งเหล่านี้ไม่เลย แต่ถ้าพวกเราพยายามเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากผู้รู้จริงรู้แจ้งชัดและรู้หนทางของเรื่องนี้ได้แล้วคือพระพุทธเจ้าและพระองค์ยังสั่งสอนสงฆ์สาวกให้รู้จริงตามพระองค์ได้ด้วยอาจจะทั้งท่านก็กำลังปฏิบัติออกจากสิ่งเหล่านี้อยู่ หรือท่านที่ออกได้หมดสิ้นแล้ว ท่านก็มาสั่งสอนมหาชนให้เห็นหนทางออกจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ความรู้เรื่องอื่นๆก็จะง่ายและไม่ทำให้เกิดความทุกข์ได้อีกด้วยเจริญพร 3/11/60 หลวงพ่อมิตร
ทำไมผู้ให้ผู้เสียสละจึงเป็นผู้ได้รับ เพราะการให้การสละออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของภายนอกก็ตามหรือการสละอารมณ์ที่ทำให้พวกเราเศร้าหมอง เศร้าใจ หดหู่ใจ ทุกข์นานาประการ ออกไปจากจิตใจของพวกเราได้ จึงถือว่าเราเป็นผู้ได้รับความสุขใจ ความสบายใจ ความเบาใจ ความเย็นใจ และได้ความคิดบวกหรือคิดเป็นกุศลกลับเข้าไปแทนที่การเสียสละสิ่งต่างๆ ที่เราทำ เพราะฉะนั้นผู้ให้จึงเป็นผู้รับ ไม่ใช่ผู้ให้เป็นผู้เสียสิ่งของต่างๆออกไป จงเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ ที่แท้จริงคือตั้งใจในการให้การเสียสละที่ถูกต้องเป็นธรรมจึงจะประสบความสำเร็จในการให้ในการเสียสละ เจริญพร 4/11/60 หลวงพ่อมิตร